Friday, March 24, 2017

เปิดคลิปช็อก นาทีสุดท้ายสาวไลฟ์สดขณะขับรถ ก่อนรถบัสพุ่งชนกลางคันดับสยอง




          เปิดคลิปวิดีโอภาพสุดท้ายของหญิงสาวเคราะห์ร้าย ไลฟ์สดร้องเพลงขณะขับรถ ก่อนไม่กี่วินาทีต่อมา ถูกรถบัสพุ่งชนกลางคันดับสยองคาพวงมาลั

           สติ ถือเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งในการขับรถ เพราะหากเราพลาดไปแม้แต่เพียงเสี้ยววินาที นั่นอาจหมายถึงชีวิตเลยทีเดียว ดังเช่นอุทาหรณ์กรณีนี้ เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2560 เว็บไซต์ไลฟ์ลีค ได้เผยคลิปวิดีโอสุดช็อก เผยภาพนาทีสุดท้ายของหญิงสาวรายหนึ่ง ซึ่งกำลังอัดคลิปไลฟ์สดร้องเพลงขณะที่กำลังขับรถ แต่ไม่มีใครคาดฝันว่าอีกเพียงไม่กี่วินาทีต่อจากนั้น เธอจะเกิดอุบัติเหตุจนถึงแก่ชีวิต

 
           ในคลิปวิดีโอดังกล่าวความยาวประมาณ 1 นาที เผยให้เห็นหญิงสาวรายหนึ่งกำลังขับรถอยู่ พร้อมกับอัดคลิปวิดีโอไลฟ์สดโชว์ร้องเพลงไปพร้อม ๆ กันอย่างอารมณ์ดี สายตาของเธอมองไปที่ถนนสลับกับหันลงมามองกล้องที่บันทึกภาพไว้ ทว่าหลังจากเวลาผ่านไปเพียงไม่ถึงนาที ภาพก็สั่นไหวอย่างแรงก่อนจะถูกตัดไปเป็นจอมืด

  
        หลังจากนั้นเป็นภาพเหตุการณ์จากกล้องอีกตัวของผู้พบเห็น เผยให้เห็นรถบัสพุ่งเข้าชนกลางคันรถของหญิงสาวรายดังกล่าวอย่างจัง จนสภาพรถพังยับเยิน ส่วนสาวเจ้าตัวได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการถูกกระแทกอย่างแรง เลือดไหลท่วมตัวชวนให้น่าสลดใจเป็นอย่างยิ่ง

 
           ทั้งนี้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นที่ถนนแห่งหนึ่งในเขตเซเลโนดอลสก์ ของนครคาซาน ประเทศรัสเซีย โดยจากรายงานของเว็บไซต์ไลฟ์ของรัสเซีย (23 มีนาคม 2560) ระบุว่า หญิงเคราะห์ร้ายไม่ระบุชื่อรายดังกล่าว อายุ 22 ปี ก่อนเกิดเหตุเธอกำลังไลฟ์สดผ่านทาง VKontakte โซเชียลเน็ตเวิร์กของรัสเซีย จนทำให้ละสายตาไปจากท้องถนนและเสียการควบคุมพวงมาลัย ซึ่งจากข้อมูลจากหน่วยงานตรวจตราความปลอดภัยด้านจราจรท้องถิ่น เผยว่า เธอได้ขับรถเข้าไปในเลนที่สวนกับรถของเธอ อันเป็นเหตุให้รถบัสที่ขับมาในเลนปกติ พุ่งประสานงาเข้าอย่างจัง และจากเหตุดังกล่าวนั้น ทำให้เธอเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ

ภาพจาก LiveLeak
https://hilight.kapook.com/view/150850

Friday, March 10, 2017

สุดช็อก ชาวบ้านบุกลากหญิงข้ามเพศ รุมด่า-ทำร้ายจนตาย ไม่ไยดีเสียงร้องขอชีวิต




        ป่าเถื่อนเกินรับ หญิงข้ามเพศชาวบราซิลโดนชาวบ้านลากออกจากบ้าน ถูกต่อว่าและทุบตี ก่อนถูกยิงดับ รายงานเผย กระแสโจมตีกลุ่มเพศที่สามกำลังรุนแรงหนัก มีหญิงข้ามเพศถูกฆ่าตายไปแล้วหลายราย

          เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2560 เว็บไซต์มิเรอร์ รายงานข่าวสุดสลดใจจากประเทศบราซิล เมื่อ แดนดารา ดอส ซานโตส หญิงข้ามเพศวัย 42 ปี เสียชีวิตหลังจากถูกชาวบ้านหลายคนลากออกมาจากบ้าน และ รุมทำร้าย อย่างรุนแรง

  
            เหตุการณ์สุดทะเทือนใจดังกล่าวเกิดขึ้นในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา แดนดาราอาศัยอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งในเมืองฟอร์ตาเลซา รัฐเซอารา ทางตะวันออกของประเทศบราซิล ในวันเกิดเหตุ มีผู้ชายหลายคนบุกไปลากตัวเธอออกมาจากบ้าน พวกเขาพากันต่อว่าเธอด้วยถ้อยคำหยาบคายต่าง ๆ นานา และผลัดกันรุมทำร้าย ทั้งกระทืบ ขว้างปาด้วยก้อนหิน ไปจนถึงทุบตีด้วยท่อนไม้


        การรุมทำร้ายแดนดาราดำเนินไปท่ามกลางเสียงเชียร์ของคนรอบข้าง ผู้อยู่ในเหตุการณ์รายหนึ่งได้ถ่ายคลิปวิดีโอบันทึกเหตุการณ์เอาไว้ เขาทั้งตะโกนเชียร์ หัวเราะ และยุให้กลุ่มผู้ชายพวกนั้นฆ่าแดนดาราให้ตาย นอกจากนี้พวกเขายังตะโกนล้อเลียนแดนดาราในเรื่องต่าง ๆ ทั้งเรื่องที่เธอไปทำหน้าอก และเพศสภาพของเธอ ไม่ไยดีแม้ว่าเธอจะร้องไห้อ้อนวอนขอชีวิต

 

          หลังจากถูกทำร้ายอยู่หน้าบ้าน กลุ่มชาวบ้านก็จับแดนดาราใส่ในรถเข็น เข็นพาเธอออกไปนอกหมู่บ้านก่อนจะรุมทำร้ายเธอจนเจ็บหนัก ก่อนลั่นกระสุนปลิดชีวิตเธอในที่สุด

          การรุมทำร้ายแดนดาราคือภาพสะท้อนที่แสดงให้เห็นถึงปัญหาความเกลียดกลัวเพศตรงข้ามที่กำลังก่อตัวขึ้นอย่างรุนแรงในสังคมประเทศบราซิล โดยตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2558 จนถึง เดือนกันยายน ปี 2559 มีกลุ่มคนข้ามเพศถูกสังหารถึง 123 ราย และแค่เฉพาะในเดือนกุมภาพันธ์ 2560 เดือนเดียว หญิงข้ามเพศในบราซิลถูกทำร้ายจนเสียชีวิตไปแล้วถึง 5 รายด้วยกัน โดยแดนดาราคือเหยื่อรายที่ 5

  
         ปัญหาดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นแค่เฉพาะในบราซิลเท่านั้น ประเทศอื่น ๆ ในโซนอเมริกากลางและอเมริกาใต้ก็เช่นกัน จากข้อมูลของข่าวชี้ให้เห็นว่ามีหญิงชายข้ามเพศในกลุ่มประเทศเหล่านี้ถูกสังหารไปแล้วอย่างน้อย 1,500 ราย
 
          เจ้าหน้าที่ดามาสเคโน ตำรวจฝ่ายสืบสวนสอบสวนผู้รับผิดชอยคดีของแดนดาราระบุว่า มีหญิงข้ามเพศถูกทำร้ายจนตายมาแล้วหลายครั้ง แต่ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่มีคลิปวิดีโอปรากฏออกสู่สาธารณะ ซึ่งคลิปเป็นหลักฐานสำคัญที่ช่วยได้มากในการแกะตัวคนร้าย

          "บุคคลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ มีทั้งหมด 6 คนด้วยกัน มี 2 คนที่ได้รับการระบุตัวตันแน่ชัด โดยเจ้าหน้าที่ได้บุกไปตรวจสอบ แต่ทั้ง 2 คนได้หลบหนีไปก่อน ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเร่งสืบสวนคดีนี้อย่างถึงที่สุด เพื่อตามจับกุมตัวคนร้ายทั้งหมดมาดำเนินคดีต่อไป" เจ้าหน้าที่ดามาสเคโน กล่าว

ภาพจาก As Mod
https://hilight.kapook.com/view/150175

Tuesday, March 7, 2017

สักขวดไหม ชายเก็บอากาศยอดเขาสวิตฯ มาขาย ชวนสูดกันชิล ๆ ในงบแค่ 6 พัน




         ชายหัวการตลาด เก็บอากาศบริสุทธิ์บนยอดเขาแห่งหนึ่งในสวิตเซอร์แลนด์ มาบรรจุลงขวดขาย ตั้งราคาสุดแพง ขวดละ 5,900 บาท พร้อมอ้างนี่เป็นอากาศที่ดีที่สุดในโลก

          ใครที่เคยไปเที่ยว หรือศึกษาเกี่ยวกับประเทศสวิตเซอร์แลนด์คงจะพอทราบดีว่า ทุกอย่างที่นั่นมีราคาที่แพงมาก แต่ก็คงยังไม่น่าตกใจเท่าการที่มีพ่อค้าบางราย นำอากาศบริสุทธิ์ ที่นั่นมาขายใส่ขวดตั้งราคา 167 ดอลลาร์สหรัฐ หรือสูงราว 5,900 บาท ทีเดียว

  
         เรื่องดังกล่าวถูกรายงานโดยเว็บไซต์ออดดิตี้เซ็นทรัล เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2560 หลังชายที่ชื่อ จอห์น กรีน ซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองบาเซิล นำอากาศบริสุทธิ์บนยอดเขาแห่งหนึ่งในสวิตเซอร์แลนด์ มาบรรจุลงขวดขายไปทั่วโลก โดยอ้างว่าเก็บมาจากสถานที่ลับแห่งหนึ่งใกล้กับเมืองเซอร์แมท พร้อมระบุพิกัดจีพีเอสเอาไว้ข้างขวดเพื่อเป็นการยืนยันสำหรับลูกค้าที่สนใจซื้อไป

          โดยสนนราคาของอากาศบนยอดเขาของสวิตเซอร์แลนด์ ขวด 1 ลิตร อยู่ที่ 167 ดอลลาร์ (5,900 บาท) ส่วน 3 ลิตร อยู่ที่ราคา 247 ดอลลาร์ (8,700 บาท) แต่สำหรับคนงบน้อยหน่อยก็มีจำนวน 500 มิลลิลิตร ราคา 97 ดอลลาร์ (3,400 บาท) ซึ่ง กรีน ยืนยันว่านี่คืออากาศที่ดีที่สุดในโลก และแม้จะมีราคาแพง แต่มันก็เป็นเรื่องของธุรกิจ ขณะเดียวกันก็ได้เผยว่า เงินที่ได้จากการขายนี้ 25 เปอร์เซ็นต์ จะถูกนำไปบริจาคให้มูลนิธิสนับสนุนน้ำสะอาดในทวีปแอฟริกาอีกด้วย แต่ต่อให้หักเรื่องการทำบุญไปแล้ว ก็ยังต้องบอกว่ามันเป็นสินค้าที่มีราคาแพงอยู่ดี

  
          ทั้งนี้สำหรับผู้ที่สนใจอยากรู้ว่าอากาศบนยอดเขาเป็นอย่างไรแต่ไม่มีเงินซื้อ ทาง กรีน ก็ยังใจดีแนะนำว่า ให้ลองนำขวดแก้วไปแช่เย็นในช่องฟรีซไว้สักระยะ และเมื่อเปิดฝาออกมาก็จะได้บรรยากาศเหมือนสูดอากาศบนยอดเขาเช่นเดียวกัน

          อย่างไรก็ดี แนวคิดการนำอากาศบริสุทธิ์มาขายเคยมีมาแล้วทั้งใน ฝรั่งเศส แคนาดา รัสเซีย และจีน แต่ก็คงไม่มีที่ใดราคาแพงสู้อากาศบนยอดเขาสวิตเซอร์แลนด์ได้เลยแม้แต่นิดเดียว



ภาพจาก mountainairfromswitzerland.com
https://hilight.kapook.com/view/150072

Friday, March 3, 2017

เผยชีวิตมนุษย์ช้าง มีเนื้องอกยักษ์เต็มหน้า ผ่าตัดหลายครั้งนาน 10 ปี ก็ยังไม่หยุดโต




         เปิดชีวิตสุดเวทนาของชายจีนป่วยเนื้องอกยักษ์เต็มใบหน้า จนได้ฉายาว่า มนุษย์ช้าง แม้ผ่าตัดหลายครั้งมานานร่วม 10 ปีแล้ว แต่เนื้องอกใหม่ก็ยังโตอยู่เรื่อย ๆ

          เมื่อหลายปีก่อน หลาย ๆ คนคงจะรู้จัก หวง ชุนไช ชายจีนจากมณฑลหูหนาน ที่มีชะตาชีวิตสุดโชคร้าย เกิดมาพร้อมกับ ท้าวแสนปม (Neurofibromatosis) ความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ทำให้เซลล์มีพัฒนาการผิดปกติ มีเนื้องอกขนาดใหญ่ยักษ์เต็มใบหน้าน้ำหนักกว่า 15 กิโลกรัม จนได้ฉายาว่า  มนุษย์ช้าง ซึ่งที่ผ่านมาเขาก็ได้รับความช่วยเหลือให้เข้ารับเข้าทำการศัลยกรรมหลายต่อหลายครั้งด้วยกัน


          ล่าสุดเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2560 เว็บไซต์เมโทร ได้นำเสนอเรื่องราวความคืบหน้าของชีวิตสุดหน้าเวทนาของหวง ชุนไช ที่ปัจจุบันอายุ 39 ปีแล้ว โดยระบุว่า แม้ว่าเขาจะเข้ารับการศัลยกรรมใบหน้าหลายครั้งรวมระยะเวลานานร่วม 10 ปี แต่เนื้องอกที่ใบหน้าของเขาก็ยังขึ้นมาอยู่เรื่อย ๆ

         โดยการศัลยกรรมใบหน้าครั้งแรกของนายหวง เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2550 หลังจากนั้นในปีถัดมาเขาก็เข้ารับการศัลยกรรมอีก 3 ครั้ง โดยได้รับการช่วยเหลือจากการบริจาค และหน่วยงานบริการด้านสังคม ซึ่งจากการศัลยกรรมดังกล่าว ช่วยเพียงให้เขาพ้นจากสถิติผู้ที่มีเนื้องอกบนใบหน้าขนาดใหญ่ที่สุดในโลก แต่ไม่สามารถช่วยให้เขาใช้ชีวิตเป็นปกติสุขในที่สาธารณะได้

 
          นายหวงเคยมีโอกาสไปเข้าเรียนในโรงเรียนอยู่ 4 ปีด้วยกัน แต่สุดท้ายก็ต้องตัดสินสินใจหยุดเรียนกลางคัน เนื่องจากเด็ก ๆ ในชั้นเรียนมักจะพากันล้อเลียนและกลั่นแกล้งเขา หลังจากนั้นเขาก็อาศัยอยู่กับพ่อแม่และพี่น้องเรื่อยมา

          ทั้งนี้ แม้ว่าฉายามนุษย์ช้างของนายหวงนั้นจะเหมือนกับ โจเซฟ เมอร์ริค ที่ป่วยเป็นโรคโพรเทอุส ซินโดรม (Proteus syndrome) อันทำให้ใบหน้าบิดเบี้ยวพิการแต่กำเนิด จนมีลักษณะคล้ายกันนี้ และเป็นเจ้าของฉายามนุษย์ช้างคนแรก แต่กรณีของนายหวงนั้นแตกต่าง เขาไม่มีได้มีอาการเจ็บปวดจากความผิดปกติที่เกิดขึ้นดังกล่าว

          อย่างไรก็ดี จากรายงานระบุว่า แม้ว่าเนื้อของเขาจะยังเติบโตขึ้นอยู่เรื่อย ๆ แต่ในตอนนี้เขาก็สามารถใช้ชีวิตที่ค่อนข้างปกติแบบคนทั่วไปพอได้บ้างแล้ว

ภาพจาก sakshi.com
https://hilight.kapook.com/view/149920#